วันที่ 7 พฤศจิกายน 2565 : คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดย ศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านระบบประสาทและการเคลื่อนไหวของระบบทางเดินอาหาร หรือ Center of Excellence in Neurogastroenterology and Motility Chulalongkorn University (CUNM) ร่วมกับ บริษัท เมดโทรนิค (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมกันลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) เปิดตัว “ศูนย์ฝึกอบรมทางด้านระบบประสาทและการเคลื่อนไหวของระบบทางเดินอาหาร (ภาคพื้นเอเชีย)” ซึ่งเป็นสถานที่ฝึกอบรมและให้ความรู้เฉพาะทางแก่แพทย์ พยาบาล และบุคลากรการแพทย์จากประเทศไทย และหลากหลายประเทศในเอเชียแปซิฟิก โดยมี รศ.นพ.ฉันชาย สิทธิพันธุ์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย คุณรานีวรรณ รามศิริ รองประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ บริษัท เมดโทรนิค (ประเทศไทย) จำกัด และ ศ.นพ. สุเทพ กลชาญวิทย์ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านระบบประสาทและการเคลื่อนไหวของระบบทางเดินอาหาร คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เข้าร่วมงาน ณ ห้องประชุม 1301 โซน C ชั้น 13 อาคาร ภูมิสิริมังคลานุสรณ์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย
รศ.นพ.ฉันชาย สิทธิพันธุ์ คณบดี คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย กล่าวว่า คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นโรงเรียนแพทย์ที่มีองค์ความรู้และความสามารถในการเรียนการสอน เพื่อเพิ่มบุคคลากรทางการแพทย์ที่มีคุณภาพในประเทศไทย โดยมีนโยบายสนับสนุนการจัดประชุมและอบรมทางวิชาการต่าง ๆ เพื่อให้แพทย์ที่สําเร็จการศึกษาไปแล้วได้กลับเข้ามารับความรู้ใหม่ๆ อย่างต่อเนื่องผ่านหลากหลายช่องทางการเรียนรู้ที่พัฒนาไปอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อเพิ่มประสิทธิผลในการเรียนรู้ให้กับบุคลากรทางการแพทย์ทุกคน
ศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านระบบประสาทและการเคลื่อนไหวของระบบทางเดินอาหาร หรือ CUNM ถือได้ว่ามีส่วนสําคัญ ในการบุกเบิกและพัฒนาการให้บริการผู้ป่วยที่มีปัญหาซับซ้อนทางด้านโรคระบบทางเดินอาหารที่ครบวงจร และยังสามารถเป็นศูนย์การเรียนการสอน เป็นสถาบันฝึกอบรมและผลิตแพทย์ ที่ทันสมัยที่สุดอีกที่หนึ่งในประเทศไทย โดยได้ก่อตั้งและเปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 23 เมษายน 2546
ด้านคุณรานีวรรณ รามศิริ รองประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ บริษัท เมดโทรนิค (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า เมดโทรนิคเป็นหนึ่งในบริษัทผู้ผลิตจำหน่ายและให้บริการด้านเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ชั้นนำระดับโลก เรามีความมุ่งมั่นในการแก้ไขความท้าทายทางด้านสุขภาพ ในการบรรเทาความเจ็บปวดจากโรคภัยต่าง ๆ ส่งเสริมให้ประชากรทุกคนมีสุขภาพที่ดีและมีชีวิตที่ยืนยาว ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2544 เมดโทรนิคได้ดําเนินธุรกิจในประเทศไทยมานานกว่า 20 ปี...
...เราเป็นผู้นําระดับโลกทางเทคโนโลยีด้านเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ โดยมีพนักงานมากกว่า 90,000 คนทั่วโลก เพื่อช่วยนำเทคโนโลยีสุขภาพระดับโลก มาส่งให้ถึงมือของบุคลากรทางการแพทย์ เพื่อใช้ในการรักษาคนไข้ในประเทศไทย ด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ การรักษาที่มีประสิทธิภาพและบริการที่ดีที่สุด ใน 4 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่
1. Cardiovascular Portfolio
2. Medical Surgical Portfolio,
3. Neurosciences Portfolio
4. Diabetes Portfolio
ปัจจุบันการตรวจทางด้านระบบประสาทและการเคลื่อนไหวของระบบทางเดินอาหารนี้ ถือเป็นนวัตกรรมใหม่ที่มีความสำคัญและมีประสิทธิภาพในการวินิจฉัยและรักษาผู้ป่วยโรคต่าง ๆ ได้แก่ โรคกรดไหลย้อน โรคท้องผูกเรื้อรัง และการขับถ่ายผิดปกติ โดยการตรวจดังกล่าวจะบอกถึงกลไกการเปลี่ยนแปลงในระบบทางเดินอาหารที่ทำให้เกิดอาการผิดปกติ เพื่อรักษาได้ตรงตามสาเหตุที่พบได้อย่างถูกต้องแม่นยำ อย่างไรก็ดีเนื่องด้วยเป็นการตรวจแบบใหม่ ปัจจุบันจึงยังขาดแพทย์ที่มีความชำนาญในการใช้อุปกรณ์การตรวจดังกล่าวให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด ในฐานะของผู้ให้บริการ คิดค้นและวิจัยเทคโนโลยีสุขภาพ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และบริษัท เมดโทรนิค (ประเทศไทย) มีความภูมิใจที่จะนำเสนอรูปแบบการเรียนรู้ที่ทำให้บุคลากรทางการแพทย์ สามารถได้รับองค์ความรู้ พัฒนาทักษะการทำหัตถการ และการใช้เครื่องมือให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ที่จะมอบประสบการณ์ในการเรียนรู้ และเพิ่มโอกาสการเข้าถึงการอบรมที่มีคุณภาพของคณาจารย์จากศูนย์ความเชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านระบบประสาทและการเคลื่อนไหวของระบบทางเดินอาหาร คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้กับบุคลากรทางการแพทย์ที่ต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศ และเรายังมองเห็นโอกาสในการต่อยอดความร่วมมือในครั้งนี้ ไปยังหัตถการที่มีความสำคัญอื่น ๆ อีกมากมายในอนาคต
ทางบริษัทฯ มีความยินดี และพร้อมจะสนับสนุนโครงการความร่วมมือ ในการพัฒนาองค์ความรู้ลักษณะนี้กับทุกสถาบัน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศไทย ทั้งทางด้านการศึกษา การแพทย์ และสังคมไทย และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าความร่วมมือในครั้งนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการพัฒนาระบบสาธารณสุขไทยแบบยั่งยืน และเพิ่มการเข้าถึงเทคโนโลยีสุขภาพของประชาชนไทยได้มากขึ้นในอนาคต
ศ.นพ.สุเทพ กลชาญวิทย์ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านระบบประสาทและการเคลื่อนไหวของระบบทางเดินอาหาร คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า โรคความผิดปกติเกี่ยวกับระบบบประสาทและการเคลื่อนไหวของระบบทางเดินอาหาร สามารถเกิดได้ตั้งแต่การกลืนหรือหลอดอาหารไปจนถึงทวารหนัก ได้แก่ ภาวะกลืนลำบากที่ไม่ได้มีสาเหตุมาจากเนื้องอกหรือหลอดอาหารอุดตัน โรคกรดไหลย้อน โรคกระเพาะอาหารเรื้อรัง โรคลำไส้แปรปรวน โรคท้องผูกเรื้อรังและโรคที่เกี่ยวกับการขับถ่ายผิดปกติ เช่น กลั้นอุจจาระไม่ได้ ถ่ายอุจจาระไม่สุด เป็นต้น ซึ่งโรคเหล่านี้มีความสำคัญ และเนื่องจากประชากรชาวไทยและทั่วโลกเป็นโรคเหล่านี้ในแต่ละโรค ในอัตราที่สูงประมาณร้อยละ 15-25 ของประชากร โดยในปัจจุบันการรักษาโรคเหล่านี้ ยังมีการรักษาที่ไม่เหมาะสมในผู้ป่วยจำนวนมาก ผู้ป่วยยังคงต้องรับยาต่อเนื่องอย่างไม่เหมาะสม ทั้งที่โรคสามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยการตรวจวินิจฉัยถึงสาเหตุที่ชัดเจนและรักษาที่สาเหตุนั้น ทำให้สิ้นเปลืองทรัพยากรทางการแพทย์มาก ศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านระบบประสาทและการเคลื่อนไหวของระบบทางเดินอาหาร คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ได้ดำเนินการวิจัยและพัฒนาองค์ความรู้ใหม่ ๆ ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการรักษาโรคต่าง ๆ เหล่านี้ เช่น โรคท้องผูกเรื้อรัง ถือเป็นศูนย์แห่งแรกที่สามารถพัฒนาขั้นตอนการรักษาภาวะท้องผูกเรื้อรังที่เป็นขั้นตอนที่เข้าใจง่ายทั้งผู้ป่วยและผู้ให้การรักษาและมีการเผยแพร่จนเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ รวมทั้งโรคกรดไหลย้อน โรคลำไส้แปรปรวนและภาวะท้องอืดเรื้อรัง
ทั้งนี้คาดว่าหลักสูตรการเรียนรู้ที่จัดเตรียมขึ้นและดำเนินการในศูนย์ฝึกอบรมทางด้านระบบประสาทและการเคลื่อนไหวของระบบทางเดินอาหาร (ภาคพื้นเอเชีย) นี้ จะช่วยทำให้การดูแลรักษาคนไข้ในกลุ่มต่าง ๆ ดังที่กล่าวมาข้างต้น จะได้รับการรักษาที่ดีขึ้นส่งผลให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีและสามารถลดค่าใช้จ่ายทั้งภาครัฐและภาคครัวเรือน
ความร่วมมือระหว่างศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านระบบประสาทและการเคลื่อนไหวของระบบทางเดินอาหาร คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ และบริษัทเมดโทรนิค จะเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยให้แพทย์ผู้ดูแลผู้ป่วยได้ทบทวนองค์ความรู้ ได้ทำความเข้าใจเกี่ยวกับภาวะต่าง ๆ ข้างต้นได้ลึกซึ้งขึ้น ซึ่งจะทำให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการรักษาเกี่ยวกับภาวะต่าง ๆ เหล่านี้มากยิ่งขึ้น เพื่อพัฒนาความสามารถในการให้บริการ เพื่อเตรียมความพร้อมของโรงพยาบาลที่แพทย์จากหน่วยงานต่าง ๆ ที่มารับการฝึกอบรมให้สามารถกลับไปทำหัตถการต่าง ๆ ได้ตามแนวทางมาตรฐาน อันจะส่งผลให้การดูแลผู้ป่วยในพื้นที่ที่รับผิดชอบมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น