"เสน่ห์ใกล้กรุง" กิจกรรมประชาสัมพันธ์และส่งเสริมการท่องเที่ยว กลุ่มจังหวัดภาคกลางปริมณฑล จังหวัดนครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ - Siamtimes.net

Breaking

Post Top Ad

Responsive Ads Here

Post Top Ad

Responsive Ads Here

นิทรรศการ งานมหกรรม

การสื่อสาร

วันอาทิตย์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

"เสน่ห์ใกล้กรุง" กิจกรรมประชาสัมพันธ์และส่งเสริมการท่องเที่ยว กลุ่มจังหวัดภาคกลางปริมณฑล จังหวัดนครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ


สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดปทุมธานี ร่วมกับสำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬา จังหวัดปทุมธานี และ กลุ่มจังหวัดภาคกลางปริมณฑล ประกอบด้วย จังหวัดนครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ ร่วมกันจัดโครงการ "เสน่ห์ใกล้กรุง" กิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ ถือเป็นการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวโดยชุมชน ที่นักท่องเที่ยวให้ความสนใจเดินทางไปสัมผัสเพื่อค้นหาความแตกต่างทางวัฒนธรรม วิถีชุมชนแต่ละพื้นที่ เพื่อเรียนรู้วัฒนธรรมท้องถิ่น สร้างประสบการณ์ร่วมและรับรู้ถึงคุณค่าทางวัฒนธรรม ผ่านการบอกเล่าเรื่องราว ความเป็นมา ผ่านโบราณสถาน สถาปัตยกรรม สถานที่สำคัญทางศาสนา และประวัติศาสตร์ รวมไปถึงการแสดงพื้นบ้าน ศิลปะประเพณี และอาหารท้องถิ่น ของกลุ่มจังหวัดภาคกลางปริมณฑล ซึ่งแต่ละจังหวัดถือว่ามีประวัติความเป็นมาที่ยาวนาน ล้วนมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของชาติไทยทั้งสิ้น



กลุ่มจังหวัดภาคกลางปริมณฑล อันประกอบด้วย จังหวัดนครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ
มีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนายกระดับการท่องเที่ยวให้ได้มาตรฐานและส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยเฉพาะการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์และวัฒนธรรม และให้ความสำคัญกับการเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยวของกลุ่มจังหวัด และกระจายรายได้สู่ชุมชน อันนำมาสู่การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ


โครงการ "เสน่ห์ใกล้กรุง" ในครั้งนี้ 
จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยว กิจกรรมการท่องเที่ยว และเป็นการเพิ่มรายได้ให้กับกลุ่มจังหวัดภาคกลางปริมณฑล ทั้งจังหวัดนครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ โดยมีการจัดกิจกรรม Press Tour และ Fam Trip นำผู้ประกอบด้านการท่องเที่ยว และสื่อมวลชนร่วมลงพื้นที่ชมแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญในกลุ่มจังหวัดภาคกลางปริมณฑล จำนวน 4 ครั้ง เป็น One Day trip ดังนี้
   - ครั้งที่ 1 พื้นที่จังหวัดปทุมธานี ในวันเสาร์ที่ 26 เมษายน 2568
   - ครั้งที่ 2 พื้นที่จังหวัดนครปฐม ในวันอาทิตย์ที่ 27 เมษายน 2568
   - ครั้งที่ 3 พื้นที่จังหวัดสมุทรปราการ ในวันเสาร์ที่ 24 พฤษภาคม 2568
   - ครั้งที่ 4 พื้นที่จังหวัดนนทบุรี ในวันอาทิตย์ที่ 25 พฤษภาคม 2568


ทริปนี้เป็นทริปที่ 4 พื้นที่จังหวัดนนทบุรี โดยมี คุณนงเยาว์ เนตรประสิทธิ์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) ฝ่ายตลาดในประเทศ กล่าวต้อนรับ
และร่วมร่วมเดินทาง พร้อมด้วย นายภูริวัจน์ ลิ้มถาวรรัตน์ ประธานภาคีท่องเที่ยวไทย นำสมาชิกภาคีท่องเที่ยวไทย สมาชิกสมาคมผู้ประกอบการนำเที่ยวไทย (สนท.) และผู้ประกอบการท่องเที่ยว รวมทั้งสื่อมวลชน กว่า 50 ราย


เริ่มจาก "วัดเฉลิมพระเกียรติวรวิหาร"
สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2392 ตามพระบรมราชโองการของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) ที่โปรดเกล้าฯ ให้สร้างวัดแห่งนี้ขึ้นตรงที่เป็นนิวาสสถานเดิมของพระยานนทบุรีศรีมหาอุทยาน (บุญจัน) อดีตเจ้าเมืองนนทบุรี กับคุณหญิงเพ็ง ผู้เป็นพระอัยกา (ตา) และพระอัยยิกา (ยาย) ของพระองค์ เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีสุลาลัย (เจ้าจอมมารดาเรียมในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ 2) ผู้เป็นพระราชมารดา โดยพระราชทานนามว่า "วัดเฉลิมพระเกียรติ" แต่การก่อสร้างไม่แล้วเสร็จเนื่องจากพระองค์เสด็จสวรรคตเสียก่อน จนมาแล้วเสร็จในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4)


โดยคณะเราได้กราบสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
ที่ประดิษฐานอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา และวัดนี้ก็ได้รับรางวัลอาคารอนุรักษ์ดีเด่นประจำปี พ.ศ. 2536 จากสมาคมสถาปนิกสยาม เพราะสถาปัตยกรรมในวัดนั้นมีความน่าสนใจอย่างมาก ทั้ง พระอุโบสถ ที่เป็นศิลปะงดงาม แบบพระราชนิยมในรัชกาลที่ 3 คือ มีศิลปะจากจีนมาผสมนั่นเอง คณะของเราก็ได้เข้าไปกราบสักการะ "พระพุทธมหาโลกาภินันทปฏิมา" พระพุทธรูปปางมารวิชัยขนาดใหญ่ หน้าตักกว้าง 6 ศอก สูง 8 ศอก 1 คืบ 4 นิ้ว ที่ประดิษฐานในพระอุโบสถ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้หล่อพระพุทธรูปด้วยทองแดงขึ้น และกราบนมัสการ พระธรรมวชิรปัญญาภรณ์ (ละเอียด กิตฺติสุขุโม) เจ้าอาวาส พร้อมรับน้ำพระพุทธมนต์ รับศีลรับพร เพื่อเป็นสิริมงคล...


...นอกจากนี้ บานประตู บานหน้าต่างพระอุโบสถ เขียนลายรดน้ำปิดทอง ตราพระราชลัญจกรของรัชกาลที่ 3 และรูปกระต่ายภายในวงพระจันทร์เต็มดวง และในวิหารหลวงยังประดิษฐานพระพุทธปฏิมาชัยวัฒน์ ส่วนวิหารขาว ประดิษฐาน พระศิลาขาว พระพุทธรูปปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง 30 นิ้ว สูง 33 นิ้ว พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) โปรดให้อัญเชิญมาประดิษฐานในพระวิหารเมื่อปี พ.ศ.2401 พร้อมพระอัครสาวก 2 องค์ สูง 13 นิ้ว เป็นพระพุทธรูปศิลา นอกจากนี้ภายในวัดยังมี พระเจดีย์ขาว เจดีย์ทรงลังกา ฐานแปดเหลี่ยมสองชั้น ความสูงขนาด 45 เมตร ประดิษฐานพระบรมธาตุไว้ภายใน และยังมีกำแพงแก้วล้อมรอบพระอุโบสถที่ทำเป็นกำแพงป้อมค่ายแห่งเดียวในประเทศไทย


จากนั้นคณะเราก็เดินทางไปวัดสนามเหนือเพื่อขึ้นเรือโดยสารข้ามฟากไปยังเกาะเกร็ด เพื่อรับประทานอาหารมื้อกลางวัน ณ ครัวคุณนิต เกาะเกร็ด จากนั้นคณะเราเดินทางไปที่ "วัดเสาธงทอง" ที่สร้างขึ้นโดยชาวมอญที่เข้ามาอาศัยอยู่ในช่วงสมัยกรุงศรีอยุธยา เดิมชื่อว่า "วัดสวนหมาก" ต่อมาวัดนี้เปลี่ยนชื่อมาเป็น "วัดเสาธงทอง" ในช่วงปลายสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ด้านหลังอุโบสถมีเจดีย์ศิลปะสมัยอยุธยา ตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ย่อมุมสิบสองอยู่หลังโบสถ์ เป็นเจดีย์ที่สูงที่สุดในเขตอำเภอปากเกร็ด และมีเจดีย์องค์เล็กเป็นเจดีย์บริวารโดยรอบอีก 2 ชั้น ด้านข้างโบสถ์มีเจดีย์องค์ใหญ่อีก 2 องค์ องค์หนึ่งเป็นเจดีย์ทรงระฆังกลมสูง อีกองค์หนึ่งมีรูปแปลกมีฐานเหลี่ยม พร้อมกราบสักการะขอพร พี่จุก ศาลสองกุมาร ใต้ต้นยางใหญ่ 200 ปี ซึ่งเป็นที่ศรัทธาของชาวบ้าน ขอโชคขอลาภอะไรก็ได้สมดังความปรารถนา จนมีคนเอาน้ำแดงมาถวายเป็นประจำ


จากนั้นเดินทางไป "วัดไผ่ล้อม"
สร้างตั้งแต่ปี พ.ศ. 2310 สมัยกรุงศรีอยุธยา ต่อมากองทัพพม่าเข้ายึดเมืองนนทบุรี ทำให้พระสงฆ์หนีภัยสงคราม กลายเป็นวัดร้าง ต่อมาสมัยกรุงธนบุรีในปี พ.ศ. 2317 ชาวมอญหรือชาวรามัญเข้ามาตั้งบ้านเรือนได้ร่วมกันบูรณะวัดแห่งนี้ขึ้นมาใหม่จนแล้วเสร็จสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 2446 ตรงกับสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ มาที่นี่คณะเราก็ไม่พลาดที่จะกราบสักการะองค์พระอุปคุตที่แกะสลักด้วยไม้ทั้งองค์ รูปหล่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) และองค์พระพุทธรูปปางมารวิชัย พระประธาน ที่มีพุทธลักษณะงดงามในพระอุโบสถ ระหว่างทางเดินบนเกาะเกร็ด คณะเราก็เดินชมวิถีชุมชนเกาะเกร็ด เที่ยวชมตลาด ช้อปปิ้งสินค้าท้องถิ่น แวะทานกาแฟ เครื่องดื่ม อาหารว่าง ที่บ้านขาวคาเฟ่ต์ The White Space


แล้วเดินทางต่อกันที่ "วัดปรมัยยิกาวาส" เป็นวัดโบราณที่น่าจะสร้างหลังจากสมเด็จพระที่นั่งท้ายสระโปรดให้ขุดคลอง เมื่อ พ.ศ. 2264 ชาวเรือเรียก วัดปากอ่าว จนปี พ.ศ. 2307 พม่าบุกยึดเมืองนนทบุรี กลายเป็นวัดร้าง เมื่อปี พ.ศ. 2317 ชาวมอญที่อพยพมาในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีได้บูรณปฏิสังขรณ์ใหม่ ในปี พ.ศ. 2417 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินทอดกฐินวัดมอญ ทรงเห็นว่าวัดปากอ่าวทรุดโทรมมาก จึงโปรดเกล้าฯ ให้ปฏิสังขรณ์วัดใหม่ทั้งวัดโดยรักษารูปแบบมอญไว้ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล สนองพระคุณสมเด็จพระบรมราชมาตามหัยิกาเธอ กรมพระยาสุดารัตน์ราชประยูร ผู้ทรงอภิบาลพระองค์มาแต่ทรงพระเยาว์ และได้พระราชทานนามวัดว่า "วัดปรมัยยิกาวาส" มีความหมายว่า "วัดของพระบรมอัยยิกา"... 


...ด้านหลังพระอุโบสถมีพระเจดีย์รูปทรงแบบมอญซึ่ง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราช ดำเนินมาทรงบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ที่พระมหารามัญเจดีย์นี้ เมื่อปี พ.ศ. 2427 และที่พลาดไม่ได้นั่นก็คือ "พระเจดีย์มุเตา" หรือ "เจดียเอียง" สถานที่เป็นไฮไลท์ที่เป็นสัญลักษณ์ของเกาะเกร็ด ที่สร้างขึ้นโดยชาวมอญที่อพยพมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารปลายกรุงศรีอยุธยา เป็นเจดีย์ทรงรามัญสีขาว ก่ออิฐถือปูน ฐานแปดเหลี่ยมย่อมุม ยอดเจดีย์มีฉัตรทรงเครื่อง 5 ชั้น อย่างมอญ สูง 1 วา ตั้งอยู่หัวมุมเกาะเกร็ด ภายในบรรจุพระธาตุเป็นที่เคารพสักการะ ของชาวไทยเชื้อสายมอญ เดิมเป็นเจดีย์ที่สร้างตั้งตรง ต่อมาน้ำเซาะตลิ่งพัง จึงทำให้เจดีย์ทรุดตัวและเอียงลงเมื่อ ประมาณปี พ.ศ. 2434 ที่นี่คณะของเราชมการสาธิตการทำขนมไทย เช่น ผกากรอง ทองเอก ขนมหันตรา การทำข้าวแช่ พร้อมชมการแสดงรำมะเทิ่ง เม้ยเจิง และชมการแสดงทะแยมอญ


หมดทริปบนเกาะเกร็ด คณะเราก็ลงเรือกลับมาที่วัดสนามเหนือ แล้วเดินทางสู่ "วัดกู้" (พระนางเรือล่ม)
วัดโบราณเก่าแก่ที่สร้างมาตั้งแต่ในสมัยกรุงธนบุรี หรือ สมัยอยุธยาตอนปลายถึงรัตนโกสินทร์ตอนต้น หรือประมาณปี พ.ศ. 2295 เมื่อไปถึงคณะเราก็เข้าไปยังวิหารหลังใหม่ กราบสักการะขอพร "หลวงพ่อสำเร็จ" พระประธานที่ประดิษฐานภายใน พร้อมกราบนมัสการ พระครูวิมลสุวรรณกร (สมพงษ์ จนฺทวโร ป.ธ.3) เจ้าอาวาสวัดกู้ จากนั้นคณะเราก็กราบสักการะพระนอนองค์ใหญ่ ขนาด 33 เมตร และกราบหุ่นขี้ผึ้ง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ ที่ด้านข้างวิหารนั้นก็จะเป็นที่เก็บเรือพระที่นั่งของพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ที่อับปางที่อับปาง และที่วัดนี้ยังมี ศาลพระนางเรือล่ม ซึ่งจำลองแบบมาจากศาลาจตุรมุขของพระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์ที่พระราชวังบางปะอิน รวมถึงพระตำหนักที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานอีกด้วย ปิดท้ายด้วยการรับประทานอาหารมื้อค่ำ ก่อนเดินทางกลับโดยสวัสดิภาพ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Post Top Ad

Responsive Ads Here