วันนี้ (1 กรกฎาคม 2563) นายสุริยัณห์ หงษ์วิไล โฆษกศาลยุติธรรม เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดต่อเชื้อไวรัส COVID – 19 ที่ได้ส่งผลกระทบต่อสภาพเศรษฐกิจในวงกว้าง และประชาชนจำนวนมากต้องว่างงานขาดรายได้โดยนายไสลเกษ วัฒนพันธุ์ ประธานศาลฎีกา เห็นว่าการพิจารณาอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาหรือจำเลย ควรคำนึงถึงผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าว จึงได้ลงนามออกประกาศ “คำแนะนำประธานศาลฎีกาเกี่ยวกับแนวทางสำหรับการปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาหรือจำเลย ในสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563” ซึ่งหลักสำคัญของการแนะนำ มีดังนี้
1. ดุลพินิจการพิจารณาอนุญาตปล่อยชั่วคราว (การให้ประกันตัว) ยังคงเป็นดุลพินิจของผู้พิพากษาโดยแท้
2. คดีลหุโทษ (ความผิดที่มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ) คดีที่มีโทษปรับสถานเดียว หรือคดีที่มีโทษจำคุกอย่างสูงไม่เกิน 10 ปี ศาลอาจอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวโดยไม่มีประกันด้วยการให้สาบานตัวหรือปฏิญาณตนตามที่กฎหมายกำหนด
3. คดีที่มีโทษจำคุกอย่างสูงเกินกว่า 10 ปี ศาลอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวได้แต่ต้องมีประกัน ซึ่งการเรียกประกันจะทำได้เมื่อเป็นกรณีจำต้องเรียกหลักประกัน และจะต้องระบุถึงความจำเป็นในการเรียกหลักประกันไว้ในคำสั่งโดยชัดเจน
4. ส่งเสริมให้มีการกำหนดเงื่อนไขเกี่ยวกับที่อยู่ หรือเงื่อนไขอื่นใดประกอบการอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว, ใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในการตรวจสอบหรือจำกัดการเดินทาง หรือแต่งตั้งผู้กำกับดูแลแทนการเรียกหลักประกัน
5. ปรับปรุงวงเงินประกันหรือหลักประกันกรณีศาลอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวโดยมีประกันหรือมีประกันและหลักประกัน (หลักทรัพย์) โดยลดวงเงินลงกึ่งหนึ่งจากวงเงินที่กำหนดในข้อบังคับของประธานศาลฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขเกี่ยวกับการเรียกประกันหรือหลักประกันในการปล่อยชั่วคราวหาหรือจำเลยในคดีศาลอาญา พ.ศ. 2548
6. กรณีผู้ต้องหาหรือจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดซ้ำ หรือเป็นผู้ไม่มีที่อยู่ถาวรในประเทศไทย ถือเป็นพฤติการณ์พิเศษในคดีที่อาจใช้วงเงินที่สูงกว่าได้ โดยบัญชีมาตรฐานวงเงินประกันสำหรับแนวทางการปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาหรือจำเลยมีรายละเอียดดังนี้ https://opsc.coj.go.th/th/content/category/detail/id/8/cid/1145/iid/199035
โฆษกศาลยุติธรรม กล่าวอีกว่า ภายหลังที่ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID – 19 (ศบค.) มีการผ่อนคลายมาตรการระยะที่ 4 ประกอบกับมีการยกเลิกเคอร์ฟิว ตั้งแต่เวลา 23.00 น. ของวันที่ 14 มิถุนายน 2563 เป็นต้นมา หากนำสถิติเดือนพฤษภาคม และเดือนมิถุนายนมาเปรียบเทียบกัน พบว่า สถิติคดีในกลุ่มศาลอาญา ศาลจังหวัด และศาลแขวงในเดือนมิถุนายนมีปริมาณคดีที่เข้าสู่การพิจารณาลดลงจากเดือนพฤษภาคม จำนวน 9,087 คดี
ขณะที่ในส่วนของกลุ่มศาลเยาวชนและครอบครัว สถิติการจับกุมในเดือนมิถุนายนลดลงจากเดือนพฤษภาคม จำนวน 587 คดี อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ปัจจุบันจะมีการผ่อนคลายมาตรการระยะที่ 5 แล้ว แต่ก็ยังขอให้ประชาชนและผู้ประกอบการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคที่ทางราชการกำหนด สวมหน้ากากอนามัย ก่อนออกจากบ้านทุกครั้ง เว้นระยะห่างจากผู้อื่น (Social Distancing ) เพื่อป้องกันการติดเชื้อไวรัส COVID – 19 เพิ่มขึ้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น