แพทย์ไทยเตือนประชาชนให้ความสำคัญในการป้องกันไข้หวัดใหญ่ ในช่วงการระบาดของ โควิด-19 เพราะหากติดเชื้อร่วมกัน ยิ่งเพิ่มโอกาสการเสียชีวิตสูงถึงร้อยละ 29 – 55 - Siamtimes.net

Breaking

Post Top Ad

Responsive Ads Here

Post Top Ad

Responsive Ads Here

นิทรรศการ งานมหกรรม

การสื่อสาร

วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2563

แพทย์ไทยเตือนประชาชนให้ความสำคัญในการป้องกันไข้หวัดใหญ่ ในช่วงการระบาดของ โควิด-19 เพราะหากติดเชื้อร่วมกัน ยิ่งเพิ่มโอกาสการเสียชีวิตสูงถึงร้อยละ 29 – 55


จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบให้เกิดความวิตกกังวลต่อคนทั่วโลก รวมถึงประชาชนยังขาดการรับรู้และขาดความเข้าใจในเชิงป้องกันในโรคทั้งสองที่มีอาการที่คล้ายคลึงกัน โดยเฉพาะไข้หวัดใหญ่ ซึ่งปีนี้ นับเป็นครั้งแรกที่มีโรคระบาดทั้งสองโรคพร้อมกัน นอกจากความเสี่ยงที่จะติดโรคใดโรคหนึ่งแล้ว ประชาชนยังมีโอกาสที่จะติดเชื้อร่วมกัน (co-infection) จากทั้งไข้หวัดใหญ่และเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ ซึ่งจะทำให้มีอาการรุนแรง เกิดอาการแทรกซ้อน และยิ่งทำให้การรักษามีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น 


มูลนิธิส่งเสริมการศึกษาไข้หวัดใหญ่ จึงได้จัดระดมแนวคิดจากผู้ทรงคุณวุฒิและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยงานภาครัฐ และสถาบันทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้องเพื่อเสวนาเรื่อง “ความสำคัญของการป้องกันไข้หวัดใหญ่ในช่วงการระบาดของโควิด-19”
เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ความเข้าใจในเรื่องของวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ประโยชน์การดูแลรักษาป้องกันโรค รวมถึงมาตรฐานและความปลอดภัยของวัคซีนไข้หวัดใหญ่ เพื่อสร้างความตระหนักรู้ในการป้องกันไข้หวัดใหญ่สำหรับภาคประชาชน


รศ. (พิเศษ) นพ.ทวี โชติพิทยสุนนท์ ประธานมูลนิธิส่งเสริมศึกษาไข้หวัดใหญ่ และนายกสมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย เปิดเผยถึงสถานการณ์โรคไข้หวัดใหญ่ในประเทศไทย
กรมควบคุมโรค ปี 2563 ท่ามกลางการระบาดโควิด-19 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 28 พฤศจิกายน 2563 มีรายงานพบผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ 119,300 ราย คิดเป็นอัตราป่วยไข้หวัดใหญ่ 179.44 ต่อประชากรแสนคน โดยกลุ่มเสี่ยงต่อการเกิดโรคยังคงพบในเด็กเล็กกลุ่มอายุ 0–4 ปี รองลงมาคือ กลุ่มอายุ 5–14 ปี ขณะที่ข้อมูลสำคัญคือ ในจำนวนดังกล่าวนี้มีผู้เสียชีวิต 4 ราย สาเหตุเกิดจากเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิด A ทั้ง 4 ราย มีอายุระหว่าง 36–77 ปี โดยร้อยละ 75 มีประวัติโรคประจำตัวหรือมีปัจจัยเสี่ยงร่วมด้วย ร้อยละ 50 มีภาวะอ้วน มีค่าดัชนีมวลกายมากกว่า 30 และพบว่าร้อยละ 50 ไม่มีประวัติการรับวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่มาก่อน 


ไข้หวัดใหญ่เป็นโรคที่ระบาดในทุกๆ ปี และตลอดปีจะระบาดมากในช่วงหน้าฝนและหน้าหนาว สำหรับในปีพ.ศ. 2563 นี้ มีการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ในช่วงนี้ จึงมีความน่ากังวลเพิ่มมากขึ้น เพราะอาการของทั้งสองโรคนั้นค่อนข้างคล้ายคลึงกัน โดยผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่จะมีอาการไข้สูง 38-40 องศาเซลเซียส ไอ เจ็บคอ ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ซึ่งจะมีอาการที่แตกต่างกันเพียงเล็กน้อย คือ ผู้ติดเชื้อโควิด-19 จะมีน้ำมูกไม่เยอะ และยังมีการแพร่กระจายสู่ผู้อื่นจากการสัมผัสน้ำมูกหรือเสมหะของผู้ป่วยเมื่อมีการไอและจามเหมือนกันอีกด้วย จากการศึกษาของประเทศสหรัฐอเมริกา และประเทศจีนพบว่า ผู้ที่ป่วยเป็นโรคโควิด-19 จะทำให้มีโอกาสเสี่ยงในการได้รับเชื้ออื่นๆ แทรกซ้อนเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 20-80 และการติดเชื้อร่วมกันกับโควิด-19 พบว่าเป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A มีโอกาสทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนของโรคเพิ่มมากขึ้น ซึ่งการติดเชื้อร่วมกันนั้นเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตมากถึงร้อยละ 29-55 


ล่าสุดเดือนธันวาคม 2563 ในประเทศไทย พบว่ามีจำนวนผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่มากกว่าโควิด-19 ถึง 28 เท่า พบผู้เสียชีวิตด้วยไข้หวัดใหญ่ ถึงร้อยละ 2 ทั่วโลก โดยในปี 2561-2562 พบผู้ป่วยที่เป็นโรคไข้หวัดใหญ่มากที่สุดในช่วงฤดูฝนตั้งแต่เดือนมิถุนายน-กันยายน แต่ในปี 2563 พบผู้ป่วยที่เป็นโรคไข้หวัดมากในช่วงมกราคม และมีแนวโน้มลดลงในเดือนเมษายน เพราะเป็นช่วงที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ทำให้ประชาชนหันมาใส่ใจและดูแลสุขภาพกันมากขึ้น ใส่หน้ากากอนามัยเพิ่มขึ้น เมื่อสถานการณ์โรคระบาดเริ่มคลี่คลายอาจจะทำให้คนไทยละเลยการดูแลสุขภาพ จึงแนะให้ประชาชนควรใส่ใจป้องกันตนเองและคนใกล้ชิด ควรสวมหน้ากากอนามัยเป็นประจำ หมั่นล้างมือบ่อยๆ และหลีกเลี่ยงการไปในสถานที่แออัด รวมถึงควรรับการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ เพื่อลดโอกาสเสี่ยงในการป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ร่วมกับการติดเชื้อโควิด-19 ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนโควิด-19 ที่กำลังระบาดนี้ 


ปัจจุบันวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ มี 2 ชนิด ได้แก่ วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ชนิด 3 สายพันธุ์ และวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ชนิด 4 สายพันธุ์
โดยชนิด 4 สายพันธุ์สามารถครอบคลุมเชื้อไวรัสสายพันธุ์ B ได้เพิ่มขึ้นเป็น 2 สายพันธุ์ กล่าวคือครอบคลุมเชื้อไวรัสสายพันธุ์ A ทั้ง H1N1 และ H3N2 และสายพันธุ์ B ทั้งตระกูล Victoria และ Yamagata จึงเพิ่มความสามารถในการครอบคลุมเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ที่มีการระบาดเพิ่มขึ้น ทำให้ลดความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยและเสียชีวิตได้ดีขึ้น จึงควรได้รับการฉีดเป็นประจำทุกปี เนื่องจากวิวัฒนาการของเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ที่ระบาดในแต่ละปี เป็นเชื้อต่างชนิดกันและบางสายพันธุ์คาดการณ์การระบาดได้ยาก ดังนั้นควรฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ให้มีภูมิคุ้มกันสูงตลอดเวลาและครอบคลุมสายพันธุ์ที่คาดว่าจะระบาดในปีนั้นๆ ให้มากที่สุดโดยฉีดปีละครั้ง ซึ่งวัคซีนไข้หวัดใหญ่สามารถฉีดได้ตลอดปี โดยช่วงเวลาที่เหมาะสม คือ ก่อนฤดูฝน (เดือนพฤษภาคม) และก่อนฤดูหนาว (เดือนตุลาคม) เนื่องจากเป็นช่วงที่เริ่มมีการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ 


การฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ ถือเป็นอีกวิธีที่คุ้มค่ามากที่สุดที่สามารถป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ได้ อีกทั้งมีความปลอดภัยสูง เนื่องจากเป็นวัคซีนที่ทำมาจากเชื้อที่ตายแล้ว ทำให้หมดความสามารถในการก่อโรค และยังกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกัน ทั้งนี้วัคซีนจะมีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคได้ประมาณร้อยละ 50-90 แต่ในผู้สูงอายุและผู้ที่มีภูมิต้านทานร่างกายไม่แข็งแรง การตอบสนองต่อวัคซีนอาจลดลง อย่างไรก็ตามการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ยังมีประโยชน์ในการลดความรุนแรงของภาวะแทรกซ้อน โอกาสที่ต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล และการเสียชีวิตลงได้


ศ.นพ. ธีระพงษ์ ตัณฑวิเชียร หัวหน้าภาควิชาอายุรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผู้ช่วยผู้อำนวยการ สถานเสาวภา สภากาชาดไทย เปิดเผยถึงสถานการณ์การฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ของคนไทยในช่วงการระบาดโควิด-19 ว่า 
ตอนที่อยู่ในช่วงที่มีการ lockdown พบว่าการให้วัคซีนในเวชปฏิบัติลดลงคล้ายกับในประเทศอื่น อย่างไรก็ตามภายหลังการปลด lockdown ดูเหมือนความสนใจในการป้องกันโรค โดยเฉพาะการป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจหรือปอดบวมมากขึ้นและทำให้การฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ก็มากขึ้นโดยเฉพาะในผู้สูงอายุหรือมีโรคประจำตัว ซึ่งสังคมไทยกำลังจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ทำให้ยิ่งต้องเกิดภาวะพึ่งพาด้านสาธารณสุขมากขึ้นโดยเฉพาะเมื่อมีการเจ็บปวย ดังนั้นการให้ความรู้เรื่องการดูแลสุขภาพในผู้สูงอายุและการป้องกันโดยการฉีดวัคซีนเพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ หรือการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลจึงถือเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยลดการทนทุกข์ทรมานต่อความเจ็บป่วย รวมทั้งช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลได้อีกด้วย 


ปัจจุบันการให้วัคซีนป้องกันโรคแก่ผู้สูงอายุและผู้ที่มีโรคเรื้อรังได้รับการสนับสนุนในหลายประเทศ สำหรับประเทศไทยก็มีการสนับสนุนโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายในผู้ที่มีความเสี่ยงที่จะมีการเจ็บป่วยรุนแรง แต่ก็ยังพบว่าอัตราการให้วัคซีนเพื่อป้องกันโรคในผู้สูงอายุหรือผู้มีโรคเรื้อรังยังอยู่ในอัตราที่ต่ำกว่าร้อยละ 60 จึงจำเป็นต้องรณรงค์สร้างความเข้าใจในวงกว้างถึงความสำคัญของการป้องกันโรคที่มีความรุนแรง และควรเริ่มจากคนในครอบครัว ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญที่จะช่วยดูแลผู้สูงอายุในบ้านให้มีสุขภาพที่แข็งแรงด้วยปัจจัยพื้นฐานด้วยการรับวัคซีนเพื่อคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุที่ดีขึ้น ในกรณีไข้หวัดใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัสติดต่อโดยการหายใจหรือการสัมผัสสิ่งของที่ปนเปื้อนเชื้อทั่วไปอาการมักไม่รุนแรง แต่หากเกิดในผู้สูงอายุที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง เช่น เบาหวาน หอบหืด ถุงลมปอดโป่งพอง โรคหัวใจ โรคไตวายเรื้อรัง และผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือได้รับยากดภูมิคุ้มกัน รวมถึงหญิงตั้งครรภ์ อาจมีอาการรุนแรงหรือมีภาวะแทรกซ้อน เช่น ปอดบวม ทำให้ต้องเข้ารักษาในโรงพยาบาลและอาจเสียชีวิตได้ นอกจากนี้ ยังควรฉีดวัคซีนแก่บุคคลซึ่งใกล้ชิดกับผู้สูงอายุหรือกลุ่มผู้มีปัจจัยเสี่ยงสูง เช่น ผู้ดูแลผู้สูงอายุ หรือดูแลผู้ป่วยกลุ่มดังกล่าว เพราะมีโอกาสแพร่เชื้อให้ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงสูงเมื่อตนเองป่วยเช่นกัน 


นพ. วงวัฒน์ ลิ่วลักษณ์ ผู้ตรวจราชการกรุงเทพมหานครสูง หัวหน้าเขตตรวจราชการ 3 กล่าวว่า
“กรุงเทพมหานครมีมาตรการดูแลป้องกันอย่างเข้มข้น โดยมีการเตรียมความพร้อมระบบเฝ้าระวังและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ ในพื้นที่กรุงเทพฯ รวมถึงมีแนวทางตรวจคัดกรองผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่ในสถานพยาบาลสังกัดกรุงเทพมหานครในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ผ่านมา และได้จัดตั้งคลินิกโรคระบบทางเดินหายใจในทุกศูนย์บริการสาธารณสุข (ARI Clinic) คัดกรองผู้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจทั้งหมด ไม่ให้เข้าไปในตัวอาคารของสถานพยาบาล เพื่อลดการแพร่เชื้อทั้งโรคไข้หวัดใหญ่ โรคโควิด-19 และโรคระบบทางเดินหายใจอื่นๆ อีกทั้งได้ประชาสัมพันธ์ให้ความรู้แก่ประชาชนในเรื่องการดูแลรักษาสุขภาพเพื่อป้องกันตนเองจากโรคไข้หวัดใหญ่ รวมถึงโรคที่มากับฤดูฝน ผ่านช่องทางออนไลน์ต่างๆ อย่างต่อเนื่อง”


นอกจากนี้ ยังได้เปิดให้บริการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่แก่ประชาชนกลุ่มเสี่ยงที่ควรได้รับวัคซีน จำแนกได้ 7 กลุ่ม ได้แก่ หญิงตั้งครรภ์อายุครรภ์ 4 เดือนขึ้นไป เด็กอายุ 6 เดือน ถึง 2 ปี ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ผู้สูงอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป ผู้พิการทางสมองที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ ธาลัสซีเมียและผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง (รวมผู้ติดเชื้อ HIV ที่มีอาการ) และโรคอ้วน (น้ำหนักมากกว่า 100 กิโลกรัม หรือค่าดัชนีมวลกายมากกว่า 35 กิโลกรัม/ตารางเมตร) ซึ่งได้รับการจัดสรรวัคซีนไข้หวัดใหญ่ จากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) โดยในพื้นที่กรุงเทพฯ สามารถลงทะเบียนจองสิทธิ์ล่วงหน้าเพื่อขอรับการฉีดวัคซีนผ่าน Line : @ucbkk สร้างสุข ซึ่งได้กำหนดเริ่มฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล 3 สายพันธุ์ ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน ที่ผ่านมา สามารถไปรับบริการได้ที่ศูนย์บริการสาธารณสุข สำนักอนามัย ทั้ง 68 แห่ง โรงพยาบาลในสังกัดกรุงเทพมหานคร และโรงพยาบาลของรัฐทั่วประเทศ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย 


รศ.(พิเศษ) นพ.ทวี โชติพิทยสุนนท์ กล่าวปิดท้ายว่า
“องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า โลกมีความเสี่ยงที่จะต้องเผชิญกับการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ระบาดใหญ่ (Pandemic Influenza) แต่ความน่ากังวลของการเกิดไข้หวัดใหญ่ระบาดใหญ่ก็คือ ไม่มีทางรู้ว่าเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ระบาดใหญ่จะระบาดที่ประเทศไหนและจะมีการเตรียมความพร้อมในการรับมือได้อย่างเหมาะสม เนื่องจากเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่มีการกลายพันธุ์อยู่ตลอดเวลา ปัจจุบัน WHO ได้ติดตามและเฝ้าระวังเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ซึ่งกำลังดำเนินงานอยู่ใน 153 สถาบันจาก 114 ประเทศ โดยทุกๆ ปี WHO จะออกคำแนะนำว่าเชื้อที่กลายพันธุ์สายพันธุ์ใดควรถูกบรรจุอยู่ในรายการวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่เพื่อป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ประจำปี ในฐานะมูลนิธิส่งเสริมการศึกษาไข้หวัดใหญ่ จึงขอแนะนำประชาชนทุกท่านที่มีโอกาสรับวัคซีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน 7 กลุ่มเสี่ยง ควรเข้ารับการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่เป็นประจำทุกปีจากรัฐบาลโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เพื่อลดความรุนแรงของภาวะแทรกซ้อน และลดโอกาสการสูญเสียชีวิต


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Post Top Ad

Responsive Ads Here